หน้าเว็บ

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ตำนานบั้งไฟพญานาค ที่เมืองหนองหาน


ความเป็นมาของ ตำนานรักพญานาค:เมืองล่มจมบาดาลที่หนองหาน

 มีหมู่บ้านที่อยู่ติดริมหนองหานและอยู่ในอาณาบริเวณรวมแล้วประมาณ ๖๐ หมู่บ้านจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนองหานมีความกว้างใหญ่เพียงใดและมีตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาคที่มีชื่อเสียงว่า ตำนานผาแดงนางไอ่ ซึ่งคนในชุมชนยังมีความเชื่อในตำนานเรื่องนี้สืบต่อกันมายาวนาน 
           ตำนานโบราณเกี่ยวกับหนองหานที่เล่าขานกันมาตั้งแต่โบราณ กล่าวไว้ว่า 



ตามตำนานเล่าขานสืบต่อกันมา มูลเหตุที่ทำให้เกิด “ หนองหาน ” ต้นลำนำปาว มีเรื่องราวเกี่ยวพันกับวรรณคดีพื้นบ้านอีสานเรื่อง ผาแดง – นางไอ่ ตำนานรักอันลึกซึ้งของ หนึ่งหญิง - สองชาย เมื่อฝ่ายหนึ่งพลาดรักและถูกทำร้ายจนถึงแก่ความตาย ก็กลายเป็นงครามทำให้บ้านเมืองถล่มทลาย กลายเป็นหนองน้ำใหญ่ และวรรณคดีอีสานเรื่องนี้ก็เป็นปฐมเหตุ บุญบั้งไฟ วัฒนธรรมประเพณีที่ยิ่งใหญ่ขึ้นชื่อลือชาของชาวอีสานมาแต่บรรพกาล โดยตำนวนรักเรื่องนี้มีอยู่ว่า

“ พระยาขอม” ผู้ครองเมืองเอกชะธีตา มีธิดานางหนึ่งชื่อ “ นางไอ่” ซึ่งจัดเป็นหญิงที่มีรูปร่างงดงามในวัยแตกเนื้อสาว ซึ่งจะหาสาวงามนางใดในสามไตรภพมาเทียบมิได้ ความงดงามของเธอเป็นที่เลื่องลือไปทั่วแดนไกล เจ้าชายหลายหัวเมืองต่างหมายปองอยากได้มาเป็นคู่ครองกันทุกคน ท้าวผาแดง เจ้าชายเมืองผาพง ทราบข่าวเล่าลือถึงสิริโฉมอันงดงามของ นางไอ่ ก็เกิดความหลงไหลใฝ่ฝันในตัวนางเป็นอย่างมาก จึงวางแผนทอดสัมพันธ์ไมตรีด้วยการส่งแก้วแหวนเงินทองและผ้าแพรพรรณเนื้อดีไปฝาก นางไอ่ เมื่อมหาดเล็กนำเอาสิ่งของไปมอบให้ แถมยังได้บอก นางไอ่ ถึงความรูปหล่อ องอาจ ผึ่งผายของ ท้าวผาแดง ให้ฟัง เท่านั้นเองนางก็เกิดความสนใจและฝากเครื่องบรรณาการไปฝาก ท้าวผาแดง เป็นการตอบแทนด้วย ก่อนที่มหาดเล็กจะเดินทางกลับ “ นางไอ่” ยังได้ฝากคำเชื้อเชิญ” ท้าวผาแดง” ซึ่งตั้งทัพรออยู่นอกเมืองให้เข้าพบนางที่วังพระยาขอม แน่นอนละ จะเป็นด้วยบุพเพสันนิวาส บวกกับเจ้า “ กามเทพ” ได้แผลงศรรักไปปักอกคนทั้งสองเข้า ก็ทำให้คนคู่นี้รักกันอย่างรุนแรง และได้เสียกัน สุดจะยั้งใจได้ อะไรจะปานนั้น
ฝ่าย “ ท้าวพังคี ” ลูกชาย พญาศรีสุทโธ พญานาคผู้ครองเมืองบาดาล ก็เป็นอีกตนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันอยากยลสิริโฉมของ นางไอ่
ทั้งนี้เพราะเป็นเวรกรรมในอดีตชาตินั้นบันดาลให้มีอันเป็นไป โดยเรื่องมีอยู่ว่า ท้าวพังคี เมื่อชาติก่อน เป็นชายหนุ่มที่ยากจนและเป็นคนใบ้ เดินทางเที่ยวขอทานไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ จนมาถึงหน้าบ้านเศรษฐีคนหนึ่ง และได้เข้าไปอาศัย ช่วยทำงานให้บ้านของเศรษฐีโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ทำให้เศรษฐีมีความรักใคร่เอ็นดูอย่างมาก ถึงกับยกลูกสาวสวยนางหนึ่งให้เป็นภรรยา ลูกสาวของเศรษฐีนางนี้คือ นางไอ่ ในชาติปางก่อน “ ท้าวพังคี” ในชาตินั้นเป็นคนไม่เอาไหน แทนที่จะรักภรรยาลูกเศรษฐีกลับไม่สนใจใยดี ไม่ยอมหลับนอนด้วยกันฉันสามี – ภรรยาแม้แต่ครั้งเดียว ภรรยาก็ไม่ปริปากบอกใครทราบ ปรนนิบัติสามีเยี่ยงภรรยาที่ดี เสมอมา อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวพังคี ก็คิดถึงญาติพี่น้องที่บ้านเกิดของตน จึงพาภรรยากลับไปเยี่ยมบ้าน เศรษฐีผู้เป็นบิดาได้จัดแจงให้ลูกสาวหาบเสบียงอาหารตามผัวไป ท้าวพังคี หนุ่มใบ้ก็ไม่เคยช่วยเหลืองนางด้วยการหาบแทนเลย นางทนลำบากหาบของหนักข้ามห้วย และป่าเขา จนกระทั่งเสบียงอาหารหมดลงกลางทาง

ท้าวพังคี เห็นมะเดื่อสุกเต็มต้น จึงขึ้นไปเก็บกินแทนข้าว ฝ่าย นางไอ่ ชะเง้อคอแหงนหน้าขึ้นมอง ท้าวพังคี ผัวรักให้โยนลูกมะเดื่อลงไปให้กินบ้าง แต่ท้าวพังคี กลับไม่ใส่ใจเนื่องจากเป็นคนใจแคบ กินอิ่มคนเดียวแล้วก็ลงจากต้นมะเดื่อเดินหนีไป นางจึงขึ้นเก็บกินเอง
เมื่อนางกินอิ่มแล้ว ก็ลงมาแต่ไม่พบ ท้าวพังคี จึงออกเดินตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ นางมีความทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่ง พอเดินทางถึงต้นไทรริมฝั่งแม่น้ำ นางจึงลงอาบน้ำและดื่มกินจนมีความสดชื่นขึ้นมา จึงตัดสินใจแล้วอธิษฐานว่า “ ชาติหน้าขอให้สามีตายอยู่บนกิ่งไม้ และอย่างได้เป็นสามี – ภรรยากันอีกเลย ” ด้วยแรงอธิษฐานของนาง ชาติต่อมา ” เจ้าใบ้ ” สามีจึงเกิดมาเป็น “ ท้าวพังคี ” ส่วนเธอเองได้เกิดมาเป็น ” นางไอ่ ” และเวรกรรมจะตามสนองคนทั้งสองอย่างไร

ฝ่าย พระยาขอม เห็นว่า นางไอ่ ธิดาสาวผู้มีเรือนร่าง และใบหน้าอันสิริโฉม หาหญิงใดในหล้ามาเปรียบเทียบมิได้ ปัจจุบันเธอก็โตเต็มสาวแล้ว จึงมีใบฎีกาแจ้งไปยังหัวเมืองน้อยใหญ่ ให้ทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกันที่เมืองเอกชะธีตา หรือเมืองหนองหาน ต้นลำน้ำปาวในปัจจุบัน เพื่อจุดถวายพญาแถนผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้าบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ประการหนึ่ง ส่วนอีกประการหนึ่ง หากบั้งไฟเมืองไหนขึ้นสูงกว่าเพื่อน ก็จะได้ นางไอ่ ธิดาสาวผู้เลอโฉมไปเป็นคู่ครอง



พระยาขอม ได้กำหนดวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนหก เป็นวันงาน ทำให้เจ้าชายเมืองต่าง ๆ ทำบั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน มาจุดแข่งขันกันอย่างมากมาย บุญบั้งไฟครั้งนั้นนับเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร พอถึงวันงานผู้คนก็หลั่งไหลมาทั่วทุกสารทิศ ทั้งยังมีการแข่งขันตีกลอง ซึ่งคนอีสานเรียกว่า “ เส็งกอง ” กันอย่างครึกครื้น หนุ่ม - สาวต่าง จ่ายผญา เกี้ยวพาราศรีกันอย่างสนุกสนาน

” บุญบั้งไฟ ” ในครั้งนี้ แม้ “ ท้าวผาแดง ” จะไม่ได้รับฎีกาบอกบุญเชิญให้นำเอาบั้งไฟไปร่วมงานด้วยก็ตาม แต่ ” พระยาขอม ” ว่าที่พ่อตา ก็ให้การต้อนรับ ” ท้าวผาแดง ” เป็นอย่างดี

ฝ่าย ท้าวพังคี เจ้าชายเมืองบาดาล ก็อยากมาร่วมงานกับมนุษย์ เพราะต้องการยลโฉม นางไอ่ เป็นกำลัง และคิดและวางแผนในใจว่า บุญบั้งไฟครั้งนี้ข้าต้องไปให้ได้ แม้พ่อข้าจะทัดทานอย่างไรก็ตาม จากนั้นก็พาไพร่พลส่วนหนึ่งออกเดินทางขึ้นมาเมืองมนุษย์

ก่อนโผล่ขึ้นเมืองเอกชะธีตาของพระยาขอม ผู้เป็นใหญ่ ท้าวพังคี ก็พาบริวารแปลงร่างเป็นมนุษย์บ้าง สัตว์บ้าง ส่วนท้าวพังคี ได้แปลงร่างเป็น กระรอกเผือก ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า กะฮอกด่อน ได้ออกติดตามลอบชมโฉมนางไอ่ ในขบวนแห่ของ พระยาขอม เจ้าเมือง ไปอย่างหลงไหลในความงามของนาง

การจุดบั้งไฟแข่งขันเป็นไปอย่างสนุกสนาน ทุกคนใจจดจ่ออยากรู้ว่า บั้งไฟเจ้าชายเมืองไหนชนะและได้ นางไอ่ ไปครอง ซึ่งการจุดบั้งไฟครั้งนั้น ท้าวผาแดง และ พระยาขอม มีเดิมพันกันว่า ถ้าบั้งไฟท้าวผาแดง ชนะบั้งไฟ พระยาขอม แล้ว ก็จะยก นางไอ่ ธิดาสาวให้ไปเป็นคู่ครอง

ผลปรากฎว่า บั้งไฟของ” พระยาขอม” ไม่ขึ้นจากห้าง ซึ่งคนอีสานเรียกว่า“ ซุ” ส่วนของ ท้าวผาแดง แตก(ระเบิด) คาห้าง คงมีแต่บั้งไฟของ “ พระยาฟ้าแดด” เมืองฟ้าแดดสูงยาง และของ “ พระยาเซียงเหียน” แห่งเมืองเซียงเหียนเท่านั้นที่ขึ้นสู่ท้องฟ้านานถึง 3 วัน 3 คืน จึงตกลงมา แต่พระยาทั้งสองนั้นเป็นอาของ ” นางไอ่” เป็นอันว่าเธอจึงไม่ตกเป็นคู่ครองของใคร

เมื่องานบุญบั้งไฟเสร็จสิ้นแล้วท้าวผาแดงและท้าวพังคีต่างฝ่ายต่างกลับบ้านเมืองของตน ในที่สุดท้าวพังคีทนอยู่ในเมืองบาดาลไม่ได้เพราะหลงใหลในสิริโฉมของนางไอ่จึงพาบริวารกลับมายังเมืองมนุษย์อีกโดยแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกอย่างเดิมส่วนที่คอจะแขวนกระดิ่งทองไว้กระโดดไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอนของนางไอ่เสียงกระดิ่งทอง ดังกังวาลขึ้นนางไอ่ได้ยินเสียงกระดิ่งเกิดความสงสัยจึงเปิดหน้าต่างออกมาเห็นกระรอกเผือก มีความพอใจอยากได้นางจึงสั่งให้นายพรานฝีมือดีจากบ้านกงพานตามจับกระรอกเผือกตัวนั้นให้ได้ไม่ว่าจะจับตายหรือจับเป็นนายพรานออกติดตามกระรอกเผือกที่กระโดกไปตามกิ่งไม้ เริ่มตั้งแต่บ้านพันดอนบ้านน้ำฆ้อง นายพรานไม่ได้โอกาสเหมาะสักทีจึงไล่ติดตามไปเรื่อย ๆ จนถึงบ้านนาแบกบ้านดอนเงินบ้านยางหล่อบ้านเหล่าใหญ่บ้านเมืองพรึก บ้านม่วงไม่มีโอกาสยิงกระรอกในที่สุดผลกรรมเก่าในที่สุดผลกรรมเก่าตามมาทันขณะที่กระรอกมา ถึงต้นมะเดื่อที่มีผลสุกเต็มต้นก้มหน้าก้มตากินผลมะเดื่อสุกด้วยความหิวโหย ในพรานจึงได้โอกาสยิ่ง กระรอกด้วยหน้าไม้ซึ่งมีลูกดอกอาบยาพิษเมื่อถูกยิ่ง ท้าวพังคีในร่างของกระรอกเผือกรู้ตัวว่าตนเอง จะต้องตายแน่นอนจึงสั่งให้บริวารนำความไปแจ้งให้บิดาทราบก่อนตายได้อธิษฐานว่า ขอให้เนื้อของตนมีมากมายถึงแปดพันเล่มเกวียนพอเลี้ยงคนได้ทั่วถึงเมื่อกระรอก สิ้นใจตายนายพรานกับพวกนำเอาไปชำแหละที่บ้านเชียงแหวแบ่งให้ผู้คนทั้งบ้านใกล้และบ้านไกล ได้กินกันโดย ทั่วถึงยกเว้นบ้านดอนแม่หม้ายที่ไม่มีผัวหรือบ้านดอนแก้วซึ่งเป็นเกาะอยู่กลางทุ่งหนองหานจึงรอดพ้นจากการถูกทล่มทลายและยังปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบัน



เมื่อบริวารไปบอกพระยาพังคีพญานาคโกรธแค้นมาก จึ่งสั่งบาวไพร่จัดพลขึ้นไปอาละวาดเสียงดังครืน ๆ ทั่วแผ่นดินขณะที่บ้านเมืองพระยานาคถล่มทลายอยู่นั้นท้าวผาแดงกำลังขี่ม้า"บักสาม"มุ่งหน้าไปหานางไอ่เห็นนาคเต็มไปหมดและเล่าเรื่องที่พบเห็นให้นางไอ่ฟังนางไอ่ไม่สนใจแต่ได้ทำอาหารที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมาให้ผาแดงรับประทานท้าวผาแดงจึงถามว่าเนื้ออะไรจึงมีกลิ่นหมอนักได้รับตอบว่าเนื้อกระรอกเผือกที่ถูกนายพรานยิงตายพอตกตอนกลางคืนผู้คนหลับสนิทเหตุการณ์ที่ใคร ๆ ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นคือมีเสียงดังครืน ๆ ทั่วแผ่นดิน เมืองเอกชะทีตาของพระยาขอมถล่มทลายลงเป็นหนองหานน้อยซึ่งเป็นต้นน้ำปาวในปัจจุบันท้าวผาแดงทราบได้ทันทีว่าเป็นการกระทำของพวกพญานาคจึงคว้าแขนนางไอ่ขึ้น หลังม้าบักสามควบหนีออกจากเมืองเพื่อให้พ้นภัยแต่เนื่องจากนางไอ่ได้รับประทานเนื้อกระรอกเผือกกับเขาด้วยแม้จะหนีไปทางไหนพวกนาคตามไปแผ่นดินถล่มถล่มทลายไปด้วยท้าวผาแดงมุ่งหน้าไปทาง ห้วยสามพาดเพื่อหนีไปเมืองผาโพงแต่ไร้ผลเพราะถูกพวกนาคติดตามไม่ลดละในที่สุดนางไอ่ ถูกนาคใช้นาคฟาดตกจากหลังม้าและจมหายไปในพื้นดินทันที
เมื่อนางไอ่จมดินไปต่อหน้าต่อตา ท้าวผาแดงกลับถึงเมืองผาโพง เกิดตรอมใจคิดถึงนางไอ่ตลอดเวลาข้าวปลาไม่ยอมกินจนผ่ายผอม และล้มป่วยในที่สุดตรอมใจตายตามนางไอ่เมื่อท้าวผาแดงตายไปเป็นผีมีความอาฆาตพยาบาทต่อพญานาคอยู่ไม่วายครั้งมีโอกาสเหมาะผีท้าวผาแดงสั่งไพร่พลเตรียมตัวเดินกองทัพผีไปรบกับพญานาคให้หายแค้นผีท้าวผาแดงมีบริวารผีเป็นแสน ๆ การเดินทัพมีเสียงดังอึกทึกปานแผ่นดินถล่มได้รายล้อมเมืองบาดาลซึ่งเป็นเมืองของพญานาคไว้รอบด้านต่างฝ่ายต่างใช้อิทธิฤทธิ์รบกันนานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่มีใครแพ้ชนะฝ่าย "สุทโธนาค"เจ้าเมืองบาดาลซึ่งแก่ชรามากแล้วไม่อยากทำบาปทำกรรมต่อไปเพราะต้องการไปเกิดในภพของพระศรีอาริยเมตไตรยจึงไปขอร้องท้าวเวสสุวัณผู้เป็นใหญ่ให้มาตัดสินให้เมื่อท้าวเวสสุวัณได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องของกรรมเก่าที่ตามมาให้ผลในชาตินี้และทั้งสองฝ่ายมีเหตุผลพอ ๆ กันท้าวเวสสุวัณ จึงขอให้ทั้งสองฝ่ายเลิกราต่อกันไม่ต้องฆ่ากันให้มีเมฆตาต่อกันให้รักษาศีลห้าปฏิบัติธรรมและให้มีขันติธรรมทั้งผีท้าวผาแดงและพญานาคได้ฟังคำสั่งสอนของท้าวเวสสุวัณเข้าใจในเหตุผลต่างฝ่ายต่างอนุโมทนาสาธุการเหตุการจึงยุติลงด้วยความเข้าใจอันดีต่อกันและอภัยกันในที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น