หน้าเว็บ

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ประวัติพญานาคแต่ละองค์


เปิดตำนาน ประวัติพญานาค ทั้ง 7 พระองค์




1.องค์ท้าวพญามุจลินท์นาคราช



ครั้นล่วง ๗ วันแล้ว เสด็จไปประทับนั่งขัดสมาธิยังร่มไม้จิก อันมีนามว่า \"มุจลินท์\" อันตั้งอยู่ในทิศบูรพาหรือทิศอาคเนย์ แห่งไม้มหาโพธิ์ เสวยวิมุติสุขอยู่ ณ ที่นั้นอีก ๗ วัน มุจลินท์นาคราชในกาลนั้นฝนตกพรำตลอด ๗ วัน พญานาคมีนามว่า \"มุจลินท์นาคราช\" มีอานุภาพมาก อยู่ที่สระโบกขรณี ใกล้ต้นมุจลินท์พฤกษ์นั้น มีความเลื่อมใสในพระศิริวิลาศ พร้อมด้วยพระรัศมีโอภาสอันงามล่วงล้ำเทพยดาทั้งหลาย จึงเข้าไปใกล้แล้วขดเข้าซึ่งขนดกาย แวดวงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ๗ รอบ และแผ่พังพานอันใหญ่ ป้องปกเบื้องบนพระเศียร มิให้ลมและฝนถูกต้องพระกายพระผู้มีพระภาคเจ้า

ครั้งล่วง ๗ วัน ฝนหายขาดแล้ว พญานาคก็คลายขนดจำแลงกายเป็นมานพ เข้าไปถวายอัญชลีเฉพาะพระพักตร์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปล่งอุทานวาจาว่า \"ความ สงัดเป็นสุข สำหรับบุคคลผู้มีธรรมอันเห็นแล้ว ยินดีอยู่ในที่สงัด รู้เห็นตามความเป็นจริง ความไม่เบียดเบียน คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย และความปราศจากความกำหนัด คือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้ด้วยประการทั้งปวง เป็นสุขในโลก ความนำอัสมิมานะ คือความถือตัวออกให้หมดไปเป็นสุขอย่างยิ่ง\"

ครั้นล่วง ๗ วันแล้ว เสด็จออกจากร่มไม้มุจลินท์ ไปยังร่มไม้เกตุ อันมีนามว่า \"ราชายตนะ\" อันอยู่ในทิศทักษิณ แห่งต้นมหาโพธิ์ เสวยวิมุติสุข ณ ที่นั้น สิ้น ๗ วัน เป็นอวสาน ในกาลนั้น ท้าวสักกะอมรินทราธิราช ทรงดำริว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามิได้เสวยพระกระยาหารนับแต่กาลตรัสรู้มาได้ ๔๙ วันแล้ว จึงได้เสด็จลงมาจากเทวโลก น้อมผลสมออันเป็นทิพยโอสถเข้าไปถวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับผลสมอเสวย แล้วทรงสรีระกิจลงพระบังคม ทรงสำราญพระกายแล้ว เสด็จเข้าประทับยังร่มไม้ราชายตนะพฤกษ์นั้น.



2.พญานาคาธิบดีสีสัตนาคบาดาล


สายพันธุ์ของพญามุจลินท์นาคราช คือ พญานาค 7 เศียร ซึ่งสืบสายพันธุ์มาจนถึง พญาศรีสัตตนาคราช (นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล) ซึ่งเชื่อว่าเป็นกษัตริย์แห่งพญานาคฝั่งลาว ส่วนฝั่งไทยคือ พญาศรีสุทโธนาคราช (นาคาธิบดีสีสุทโธ) เป็นกษัตริย์พญานาคฝั่งไทย แต่เป็นพญานาคเศียรเดียว ซึ่งกล่าวกันว่า ทั้ง 2 ราชาพญานาคนี้เป็นสหายกัน



3.พญาภุชงค์นาคราช


พญาภุชงค์นาคราชเจ้าวิสุทธิเทวา
เป็นพญานาคราชประจำองค์พระศิวะเทพ หรือพระอิศวรเจ้า
น่าจะอยู่ในตระ***ลฉัพพะยาปุตตะ
มีพระวรกายเป็นสีเทาฮินดู พระนาภีและพระเศียรเป็นสีแดง
มีพระมเหษีคือ พญานาคิณีเทวีศรีปางตาล
ซึ่งเป็นพญานาคิณีประจำองค์แม่พระอุมาเทวี มเหสีของพระศิวะเทพ
(ต้องขออภัยหากข้อมูลคลาดเคลื่อน เอาไว้พี่ชานีสึกออกมา เพิ่มเติมใหม่)

หนึ่งในมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในสามพระองค์ อันได้แก่
พระพรหม ( ผู้สร้าง)
พระนารายณ์ ( ผู้รักษา) ลัทธิไวษณพ นิกาย นับถือพระองค์เป็นเทพสูงสุด
พระศิวะ (ผู้ทำลาย(ความชั่วร้าย))ลัทธิไศยวนิกาย นับถือพระองค์เป็นเทพสูงสุด
ถ้าสามพระองค์รวมกัน จะเป็นพระตรีมูรติ

อิทธิพลของมหาเทพทั้งสามพระองค์มักจะเกี่ยวข้องกับคนไทยมาช้านาน
โดยเฉพาะช่วงสมัยการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พระนามของพระองค์ มักจะปรากฎในพระนามของพระมหากษัตริย์
และพระราชวงษ์ รวมทั้งสถานที่สำคัญๆ
เช่น สมเด็จพระรามมาธิบดี....( พระราม - พระนารายณ์)
สมเด็จพระราเมศวร ( พระราม - พระอิศวร )
สมเด็จพระนเรศวร ( พระนารายณ์ - พระอิศวร ) เป็นต้น



4.พญานาคาอธิปบดีศรีสุทโธ


   เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธเป็นพญานาค ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นพญานาคเช่นเดียวกันปกครอง มีชื่อว่าสุวรรณนาค และมีบริวารฝ่ายละ 5,000 เช่นเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกัน
ด้วยความรัก ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมีอาหารการกินก็แบ่งกันกิน มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นเพื่อนตายกันตลอดมา แต่มีข้อตกลงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดออกไปหากินล่าเนื้อหาอาหารอีกฝ่ายหนึ่งไม่ต้องออกไปล่า เนื้อหาอาหารเพราะเกรงว่าบริวารไพร่พลจะกระทบกระทั่ง
กัน และอาจจะเกิดรบรากันขึ้นแต่ให้ฝ่ายที่ออกไปล่าเนื้อหาอาหารนำอาหารที่หามา ได้แบ่งกันกินฝ่ายละครึ่ง การกระทำโดยวิธีนี้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
ตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งสุวรรณนาคพาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อหาอาหารได้ช้างมาเป็น อาหาร ได้แบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่งพร้อมกับนำขนของช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ต่างฝ่ายต่างกินเนื้ออย่างอิ่มหนำสำราญด้วยกันทั้งสองฝ่าย และวันต่อมาอีกวันหนึ่งสุวรรณนาคได้พาบริวารไพร่พลออกไปล่าเนื้อ
หา อาหารได้เม่นมา สุวรรณนาคได้แบ่งให้สุทโธนาคครึ่งหนึ่งเหมือนเดิม พร้อมทั้งนำขนของเม่นไปให้ดู ปรากฎว่าเม่นตัวเล็กนิดเดียว แต่ขนของเม่นใหญ่เม่นตัวเล็กเมื่อแบ่งเนื้อเม่นให้สุทโธนาคจึงต้องแบ่งให้ น้อยสุทโธนาคได้พิจารณาดูขนเม่นเห็นว่าขนาดขนช้างเล็กนิดเดียวตัวยังใหญ่โต ขนาดนี้
แต่นี้ขนใหญ่ขนาดนี้ตัวจะใหญ่โตขนาดไหนถึงอย่างไรตัวเม่นจะต้อง ใหญ่กว่าช้างอย่างแน่นอน คิดได้อย่างนี้จึงให้เสนาอำมาตย์นำเนื้อเม่นที่ได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งไป คืนให้สุวรรณนาคพร้อมกับฝากบอกไปว่า \"ไม่ขอรับอาหารส่วนแบ่งที่ไม่เป็นธรรมจากเพื่อนที่ไม่ซื่อสัตย์\" ฝ่ายสุวรรณนาคเมื่อได้ยิน
ดังนั้น จึงได้รีบเดินทางไปพบสุทโธนาคเพื่อชี้แจงให้ทราบว่าเม่นถึงแม้ขนมันจะใหญ่โต แต่ตัวเล็กนิดเดียว ขอให้เพื่อนรับเนื้อเม่นไว้เป็นอาหารเสียเถิด สุวรรณนาคพูดเท่าไรสุทโธนาคก็ไม่เชื่อผลสุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงประกาศสงคราม กัน ฝ่ายสุทโธนาคซึ่งมีความโกรธเป็นทุนอยู่ตั้งแต่เห็นเนื้อเม่น
อยู่ แล้วจึงสั่งบริวาร ไพร่พลทหารรุกรบทันที ฝ่ายสุวรรณนาคจึงรีบเรียกระดมบริวารไพร่พลต่อสู้ทันทีเช่นเดียวกัน ตามการบอกเล่าสู่กันฟังมาว่า
พญานาค ทั้งสองรบกันอยู่ถึง 7 ปีต่างฝ่ายต่างเมื่อยล้า เพราะต่างฝ่ายต่างหวังจะเอาชนะกันให้ได้ เพื่อจะครองความเป็นใหญ่ในหนองกระแสเพียง
คนเดียวจนทำ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บริเวณหนองกระแสและบริเวณรอบ ๆ หนองกระแสเกิดความเสียหายเดือดร้อนไปตามกัน
เมื่อเกิดรบกันรุนแรงที่สุดจนทำให้ พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหวทั้งหมด เทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลายเกิดความเดือดร้อน ไปทั้งสามภพความ
เดือดร้อนทั้ง หลายได้ทราบไปถึง พระ อินทรา ธิราชผู้เป็นใหญ่ เทวดาน้อยใหญ่ทั้งหลายไปเข้าเฝ้าพระอินทร์เพื่อร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ ต่าง ๆ
ให้ฟังเมื่อพระอินทร์ได้ทราบเรื่องตลอดแล้ว จะต้อง หาวิธีการให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกันเพื่อความสงบสุขของไตรภพจึงได้เสด็จจาก ดาวดึงส์ ลงมา ยัง
เมืองมนุษย์โลกที่หนองกระแส แล้วพระอินทร์ตรัส เป็นเทวราชโองการว่า \"ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้\" การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าทุกฝ่ายเสมอ
กัน และหนองกระแสให้ถือว่าเป็นเขตปลอดสงคราม ให้พญานาคทั้งสองพากันสร้างแม่น้ำคนละสายออกจากหนองกระแสใครสร้างถึงทะเล ก่อนจะ ให้ปลา บึก ขึ้นอยู่ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือว่าการทำ สงครามครั้งนี้มีความเสมอกัน เพื่อป้องกันการทะเลาะวิวาทของพญานาค ทั้งสอง ให้เอาภูเขาพญาไฟ เป็น เขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอ ให้ไฟจากภูเขาดงพญาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุล เมื่อพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการ ดัง กล่าวแล้วสุทโธนาคจึงพาบริวารไพร่พลอพยพออก จาก หนองกระแสสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรง ไหนเป็นภูเขาก็คดโค้ง ไปตามภูเขาหรือ อาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยาก ง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกชื่อว่า \"แม่น้ำโขง\"



5.พญาเอรกปัตตนาคราช


ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า \"สมเด็จพระพุทธกัสสป\" ได้มีภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาอยู่ในถํ้าติดชายทะเล คือภูเขาชายทะเล เวลานั้นคนมีอายุถึง ๔๐,๐๐๐ ปี ท่านบวชเป็นพระจำศีลภาวนานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี ยังเป็นพระปุถุชนคนธรรมดาที่เรียกว่า \"สมมุติสงฆ์\"

วัน หนึ่งท่านอาบนํ้าอยู่ชายทะเล มีเรือสำเภาลำหนึ่งแล่นมาช้าๆ เพราะลมอ่อน เฉียดเข้ามาใกล้ที่ท่านอาบนํ้า ท่านเห็นตะไคร่นํ้าจับข้างเรืออยู่มันยาวมาก เรือเดินทะเลต้องเดินทางกันเป็นเดือนๆ ตะไคร่ก็จับมาก ท่านก็เลยนึกสนุกขึ้นมาโผกายไปจับตะไคร่นํ้า ปล่อยให้เรือลากไปตามอัธยาศัย ร่างกายของท่านหนัก ตะไคร่ไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้จึงหลุดออกมา ตัวท่านก็หลุดออกมาจากเรือแต่ไม่เป็นไรเพราะนํ้าตื้น
การพรากของเขียว คือการทำให้ตะไคร่นํ้าหลุดออกจากที่เดิม พระพุทธเจ้าทรงปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ แต่มีโทษไม่เหมือนกับอาบัติปาจิตตีย์การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นลงนรก แต่ปาจิตตีย์การพรากของเขียวให้พลัดพรากจากที่เดิมของท่านก็คือ ท่านเป็นพระอยู่องค์เดียวจึงไม่มีการแสดงอาบัติ คือไม่มีโอกาสระงับโทษนี้ เวลาตายอาบัติก็คาใจนิดเดียวเท่านี้ การจำศีลภาวนาของท่านไม่มีผลให้เกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาหรือพรหม แต่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นพญานาค ด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญบารมีมานานถึง ๒๐,๐๐๐ ปี และมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีสภาวะเป็นทิพย์มีความเป็นอยู่คล้ายเทวดา มีที่อยู่เป็นทิพย์ มีเครื่องบริโภคเป็นทิพย์ มีสมบัติอันเป็นทิพย์แต่ทว่าเป็นสัตว์เดรัจฉานมีนามว่า \"พญาเอรกปัตตนาคราช\" ก็เพราะว่ามีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนนาคธรรมดา มีสภาพเหมือนตะไคร่นํ้าคือ ทั้งตัวรุ่มร่ามนุงนังไปหมด เหมือนตะไคร่นํ้าลอยนํ้า
ต่อมาพญาเอรกปัตตนาคราชก็ได้ นางนาควิกา คือนาคนารีอีกตัวหนึ่งมาเป็นคู่ครอง มีลูกสาวมีนามว่า \"นางนาคมาณวิกา\"
ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าองค์ปัจจุบันทรงอุบัติขึ้น พญานาคตนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นนาคแต่มีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ มีความคิดอยู่เสมอว่าเมื่อไรหนอพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่จะทรงอุบัติขึ้น ท่านมีอายุนานเหลือเกินเพราะท่านเกิดเป็นนาคในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป และพระองค์ทรงนิพพานไปแล้ว สิ้นเวลาเป็นล้านๆ ปี ท่านพญานาคตนนี้ก็ยังมีอายุยืนเป็นพญานาคอยู่ ถ้าหากว่าท่านตายจากความเป็นนาค ความดีเดิมปรากฏก็จะบันดาลให้ท่านเป็นเทวดาได้ แต่ทว่าอายุของท่านมันนานเกินไป แต่จิตใจก็ยังน้อมไปด้วยกุศล
วันหนึ่งท่านเกิดไม่สบายใจคิดว่า องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้วหรือยัง ทนไม่ไหวจึงได้เรียกลูกสาวคือ นางนาคมาณวิกาให้แปลงเป็นมนุษย์สาวสวย ตัวท่านเองก็แผ่พังพานให้ลูกสาวยืนอยู่บนพังพานของท่าน แล้วก็ร้องเพลงเป็นพุทธภาษิต ที่ท่านแต่งขึ้นโดยตั้งจิตคิดว่า เพลงนี้มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงแก้ได้ คนธรรมดาไม่สามารถจะแก้ได้ เพลงของท่านเป็นพุทธภาษิตที่ สมเด็จพระพุทธกัสสป ตรัสไว้ ท่านจำได้เพราะจิตเป็นทิพย์
เมื่อท่านแผ่พังพานลอยขึ้นมาในน่านนํ้า นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงที่พ่อแต่งให้ โดยมีสัญญาว่า \"ถ้าใครร้องเพลงแก้เพลงนี้ได้ เราจะยอมเป็นภรรยา\" รูปร่างหน้าตาของลูกสาวท่านสวยมาก ไม่ว่าใครๆ ที่ทราบข่าวก็พากันไปร้องเพลงแก้ เมื่อร้องเพลงแก้แล้วนางก็ตอบว่า \"ไม่ถูก\" ท่านพ่อก็เป็นพยานบอกว่า \"ยังไม่ถูก\" ถ้าร้องเพลงแก้ถูกเมื่อไรก็ยกลูกสาวของเราให้เป็นภรรยาทันที เพราะสภาวะท่านเป็นทิพย์ ท่านก็พูดภาษาคน
ต่อมาองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นว่า อุตตรมาณพ ซึ่งเป็นคู่ครองกันมากับนางนาคมาณวิกา จะได้เป็นพระโสดาบัน เวลานั้นอุตตรมาณพได้ยินข่าวเขาลือว่า นางนาคมาณวิกามีรูปร่างหน้าตา ทรวดทรงสวยยิ่งกว่ามนุษย์ใดๆ ในโลกที่จะพึงสวยเท่า มาร้องเพลงให้คนแก้ ถ้าใครแก้ได้จะยอมเป็นภรรยา จึงได้ศึกษาว่าเพลงเขาร้องว่าอย่างไร ก็ตั้งใจจะร้องแก้ ก็เดินออกจากบ้านไป เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบอุปนิสัยว่าเขาจะได้ พระโสดาปัตติผล พระองค์จึงได้ไปนั่งดักกลางทาง ครั้นอุตตรมาณพเห็นพระพุทธเจ้าจึงเข้าไปถวายนมัสการเพราะรู้จัก พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสถามว่า \"เธอจะไปไหน\"

อุตตรมาณพจึงได้กราบทูลว่า \"ข้าพระพุทธเจ้าจะไปร้องเพลงแก้นางนาคมาณวิกา\"
พระ พุทธเจ้าทรงทราบแล้วว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เขาจะต้องเป็นคู่ครองกันแน่ และอีกประการหนึ่ง เมื่อเป็นคู่ครองกันแล้วได้ฟังเทศน์ของพระองค์ เขาจะได้บรรลุพระโสดาปัตติผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงต้องการอย่างเดียวคือพระโสดาปัตติผล ให้เขาเจริญเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า พระองค์จึงตรัสถามอุตตรมาณพว่า \"เพลงที่เธอจะไปร้องแก้ เธอจะร้องว่าอย่างไร\" อุตตรมาณพจึงเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระองค์จึงได้บอกว่า \"แก้แบบนี้ไม่ถูก ต้องแก้แบบนี้\" แล้วพระองค์ก็ทรงผูกเพลงเป็นพุทธภาษิตไปให้ร้องเพลง และอุตตรมาณพก็ไปขอรับอาสาจะร้องเพลงแก้ นางนาคมาณวิกาก็ร้องเพลงคำถาม อุตตรมาณพก็ร้องเพลงแก้
พญา เอรกปัตตนาคราชตั้งใจฟังอยู่ พอได้ฟังการร้องเพลงแก้นี้ถูกต้องตามที่ตนตั้งใจไว้ ก็คิดในใจว่าเวลานี้องค์สมเด็จพระพิชิตมารจะต้องอุบัติขึ้นแล้ว ก็ดีใจจึงได้เอาพังพานตีนํ้า นํ้าเป็นคลื่นทำเอาคนที่ยืนอยู่ริมแม่นํ้า หล่นลงไปในนํ้าตามๆ กันเพราะถูกคลื่น พญาเอรกปัตตนาคราชจึงค่อยๆ เอาหางประคองคนทั้งหมดขึ้นไปบนตลิ่ง แล้วตนเองก็แปลงเป็นมนุษย์ขึ้นไปถามอุตตรมาณพว่า \"เพลงที่ท่านนำมาแก้นี้ ท่านคิดได้เองหรือว่าใครสอนท่าน\" อุตตรมาณพจึงตอบว่า \"เพลงนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้\" ท่านจึงถามว่า \"เวลานี้พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน\" อุตตรมาณพบอกที่แล้วก็พากันไป
เมื่อ ไปถึง พระพุทธเจ้าก็เทศน์โปรด อุตตรมาณพเป็นพระโสดาบัน นางนาคมาณวิกาและพญาเอรกปัตตนาคราชเข้าถึงพระไตรสรณคมน์ แล้วยกลูกสาวพร้อมด้วยสมบัติอันเป็นทิพย์ให้อุตตรมาณพ คือนำสมบัติส่วนนั้นมาไว้เมืองมนุษย์ จะนำไปไว้บาดาลไม่ได้ อุตตรมาณพกลายเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า การฟังพระธรรมเทศนาคราวนั้น ถ้าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็จะได้บรรลุพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น ที่ฟังแล้วไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ ก็เพราะว่าพญาเอรกปัตตนาคราชไม่ใช่คน เป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงไม่มีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผล



6.พญาอนันตนาคราช


พญาอนันตนาคราช พาหนะคู่บารมีของพระนารายณ์

คำว่าอนันตะมีความหมายว่า อนันต์ ไร้จุดจบ

มีความยาวมากถึงขนาดว่าสามารถพันรอบโลกได้แต่เดิมพญานาคราชมีพระนามเดิม ว่าพญาเศษะ นาคราช ทรงเป็นโอรสองค์แรกของพระกัศยปะ และ นางกัทรุ พญาอนันตนาคราชเป็นใหญ่ในเมืองบาดาลเป็นราชาแห่งนาคทั้งปวงในเกษียรสมุทรและ ได้ตามเสด็จพระนารยณ์เสมอ

นาคเป็นงูใหญ่ บนหัวมีหงอน ที่คางมีเครา ลำตัวมีเกล็ดและปลายหางมีลวดลายงดงาม มีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงตัวได้ และสามารถบันดาลให้เกิดฝนได้ด้วย เรียกว่า นาคให้น้ำ นาคในวรรณคดีไทย นอกจากจะมี ๑ หัวแล้ว ยังปรากฏนาคที่มี ๗ หัว เรียกว่า นาคเจ็ดเศียร พญาอนันตนาคราช มี ๑,๐๐๐ เศียร อนันตนาคราชขดตัวอยู่กลางเกษียรสมุทร เป็นแท่นบรรทมให้พระนารายณ์ หลังจากที่พระนารายณ์ปราบผู้ที่มารบกวนเทวดาและมนุษย์ได้แล้ว อนันตนาคราชสามารถพ่นพิษเป็นไฟบัลลัยกัลป์ล้างโลกได้เมื่อถึงเวลาสิ้นอายุ ของโลก เมื่อพระนารายณ์อวตารมาเป็นพระรามเพื่อปราบทศกัณฐ์ อนันตนาคราชก็มาเกิดเป็นพระลักษมณ์ช่วยพระรามทำสงครามกับทศกัณฐ์ด้วย


7.ท้าววิรูปักษ์


ท้าววิรูปักษ์ ท้าวมหาราชจตุโลกบาลผู้ปกครองแห่งปัจจิม จ้าวแห่งพญานาคทั้งปวง ในเทวตำนานยุคต้นทรงดำรงตำแหน่งท้าวสักกะเทวราช นอกจากนี้ยังมีกล่าวถึงในขันธปริตร(โบราณเรียกพระปริตรกันงู)บทสวดเจ็ดตำนาน สวดเพื่อให้สวัสดีจากพวกสัตว์มีพิษทั้งหลายเพราะท้าวมหาราชพระองค์นี้ทรงมี พญานาคเป็นบริวาร
เทพนครปราการสุวรรณอันสวยงาม ซึ่งตั้งอยู่ในทิศปัจฉิม คือ ด้านตะวันตกแห่งแดนสุขาวดีสรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานี้ มีเทวาธิราชผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระนามว่า \"ท้าววิรูปักษ์มหาราช\" ทรงเป็นจอมเทพผู้ปกครอง ก็อันว่าท่านท้าววิรูปักษ์มหาราชนี้นั้นพระองค์ทรงเป็นเทวาธิราช มีบุญญานุภาพมาก มีรัศมีมาก เทวาที่อุบัติเกิดเป็นบุตรของพระองค์ก็มีมาก แต่ละองค์ล้วนแต่ทรงไว้ซึ่งพละกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มียศ เป็นอันมาก พระองค์ทรงเป็นอธิบดีผู้มีอำนาจใหญ่ ทรงปกครองทวยเทพในเทพนครด้านทิศตะวันตก ณ สรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกานี้โดยธรรม ยังความผาสุกชื่นบานหรรษาให้บังเกิดแก่มวลเทพผู้เป็นบริวาร ตลอดทุกทิพาราตรีกาล
นอกจากจะทรงเป็นเทวาธิราช ผู้มียศศักดิ์ และมีอำนาจเหนือเทพบริษัทแห่งตน ในเทพนครด้านทิศตะวันตกดังกล่าวแล้ว ท่านท้าววิรูปักษ์มหาราชยังทรงดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดี
ปกครอง \"หมู่นาค\" อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย ก็หมู่นาคนี้ เป็นสัตว์วิเศษเหล่ากายทิพย์พวกหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่ามีฤทธิ์เดชมาก เพราะพิษแห่งนาคทั้งหลายนั้นมีฤทธิ์กล้าแข็ง แต่เพียงถูกต้องบุคคลใดบุคคลหนึ่ง พิษแห่งนาค ย่อมมีฤทธิ์สามารถตัดเอาผิวหนังแห่งบุคคลนั้น ให้ถึงแก่ความตายได้ในพริบตาเหมือนกับคบดาบ และเหล่านาคทั้งหลายย่อมรู้จักนิรมิตตน เมื่อมีความประสงค์จะเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ณ แดนมนุษยโลกเรานี้ บางคราวเหล่านาคีผู้มีฤทธิ์ย่อมนิรมิตตนเป็นงู บางคราวก็ทรงเพศเป็นเทพยดา แต่บางคราวก็นิรมิตตนเป็นกระแตบ้าง เป็นต้น เที่ยวไปในราวไพรตามอัธยาศัยแห่งตนอย่างสุขสำราญ
ในกรณีนี้ หากจะมีปัญหาว่า \"สัตว์ทั้งหลายในวัฏสงสาร\" ทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มีโอกาสมาเกิดเป็นนาคได้เล่า\"
คำวิสัชนาก็มีว่า
มีพระภิกษุพุทธสาวกรูปหนึ่ง ได้เข้าไปเฝ้าแล้วทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งพระสัพพัญญุตญาณว่า \"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระเจริญ ! อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้คนบางคนในโลกนี้ ตายแล้วไปเกิดเป็นนาค\" สมเด็จพระผู้มีพระภาพเจ้า ได้ทรงมีพระมหากรุณาตรัสว่า
\"บุคคลบางคนในโลกนี้ เขาได้ยินได้ฟังมาว่า พวกนาคมีอายุยืน มีวรรณะงาม มีความสุขมาก เขาจึงชอบใจ แล้วทำความดีด้วยไตรทวารแล้วมีความปรารถนาว่า
\"โอหนอ เมื่อเราตายไปจากโลกนี้แล้ว ขอให้เราได้ไปบังเกิดเป็นนาค\"
ครั้งเขาตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหาย คือได้ไปเกิดเป็นนาคข้อนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้คนบางคนในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้วไปเกิดเป็นนาค\"
พระพุทธฎีกานี้ ย่อมเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ประกอบกัลยาณกรรมความดีด้วย กาย วาจา ใจ ยินดีในการบำเพ็ญกุศล เมื่อต้องการไปเกิดเป็นนาคย่อมมีโอกาสได้เป็นนาคในชาติต่อไปสมความปรารถนา พวกนาคเหล่านี้ มีชีวิตความเป็นอยู่โดยผาสุกสมควรแก่อัตภาพ และพวกเขามีความภักดีและความเคารพต่อท่านท้าววิรูปักษ์มหาราช ผู้ทรงเป็นอธิบดีทรงพระคุณอันประเสริฐแห่งตนเป็นยิ่งนัก





ข้อมูลจาก http://www.pantown.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น